วันนี้เรามีบทความดีๆ ที่คนเป็นลูกควรได้อ่าน เป็นบทความที่เตือนสติให้เราคำนึงถึงหน้าที่หนึ่ง
ที่นอกจากจะเป็นคนดีของสังคมแล้ว ก็คือการทำหน้าที่ลูกที่ดี ดังเรื่องที่จะกล่าวต่อไปนี้
เราในฐานะลูกๆ ของพ่อและแม่ได้อ่านกัน อ่านจบแล้วคงเป็นประโยชน์ต่อทุกๆ คนแน่นอนค่ะ
เรื่องสั้น “เบื่อมาก มีแม่ที่ชอบขอแต่เงิน”
มีชายหนุ่มคนหนึ่ง เขาเป็นเศรษฐีด้วยลำแข้งของตัวเขาเอง เมื่อไม่กี่ปีก่อน มารดาของเขาสิ้นบุญที่บ้านนอก
เขาก็ได้ไปร่วมงาน ทั้งๆ ที่เขาไม่ชอบแม่เลย เพราะแม่ของเขานั้นเอาแต่ขอเงินอย่างเดียว
เดือนไหนเขาไม่ได้ส่งเงินเข้าบ้าน แม่เขาก็จะโทรมาแล้วก็พูดต่อว่าเสียงดัง เป็นแม่ที่ไม่เอาไหนจริงๆ
ยิ่งรวยมากเท่าไหร่ แม่เขาก็ยิ่งขอเงินมากขึ้นเท่านั้น แต่เมื่อกลับถึงบ้าน เขาก็ยังอดร้องไห้โฮไม่ได้
เพราะเขายังตะขิตตะขวงใจ ที่ต้องไปทำงานไกลๆ ไม่ได้อยู่ดูแลคุณแม่ แม้จะเป็นแม่ที่ “เอาแต่เงิน”
เขาก็ยังอดรู้สึกติดค้างคุณแม่ไม่ได้ หลังงานศพก่อนที่เขาจะกลับ พี่ใหญ่ของเขาได้ยื่นซองเล็กๆ ซองหนึ่งให้เขา
พร้อมบอกว่า คุณแม่สั่งนักสั่งหนาว่าต้องมอบให้เขา เขาเปิดซองออกอย่างระมัดระวัง
ในนั้นมีสมุดเงินฝากธนาคารเล่มหนึ่ง และจดหมายฉบับหนึ่ง สมุดเงินฝากเป็นชื่อของเขา
มีเงินฝากหลายสิบล้าน ในจดหมายเขียนว่า “ลูกชาย..ในบรรดาลูกๆ ของแม่ คนที่ทำให้แม่กังวลมากที่สุดคือลูก
ตั้งแต่เล็กลูกไม่ขยันเรียนหนังสือ โตมาก็สุรุ่ยสุร่าย แถมใจกว้างกับเพื่อนฝูง พอลูกจะขอมาสู้ในเมืองหลวง
แม่ก็กังวลเพียงว่า ลูกจะตกระกำลำบาก ดังนั้น แม่จึงบังคับให้ลูกส่งเงินกลับมาให้แม่ทุกเดือน
เพื่อจะได้กระตุ้นให้ลูกไปหาเงินให้มากขึ้น ในขณะเดียวกันก็เป็นการช่วยลูกเก็บเงินอีกทางหนึ่ง
เงินที่ลูกให้แม่ แม่ไม่ได้ใช้แม้แต่แดงเดียว พี่ชายของลูกดูแลแม่ดีอยู่แล้ว ตอนนี้ลูกเอาไปใช้ให้คุ้มเถิด”
พออ่านจบ เขาทรุดลงบนพื้น นั่งร้องไห้อยู่อย่างนั้นเป็นเวลานาน
ถ้ายังมีพ่อแม่อยู่ ก็แค่ทำหน้าที่ลูกให้ดีที่สุด อย่าทำอะไรที่จะรู้สึกเสียใจภายหลังก็พอ
รักพ่อแม่ อย่ากล่าวโทษท่านใน 5 เรื่องนี้ อยากรู้ต้องอ่าน
1. ไม่โทษพ่อแม่ว่าไร้ความสามารถ ไม่มีใครที่เก่งไปทุกเรื่อง และไม่มีใครที่ทำทุกเรื่องได้สมบูรณ์
พ่อแม่คือผู้ให้ชีวิต ทุ่มเทเลี้ยงดูเราจนเติบใหญ่ สิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย อย่าต่อว่าพ่อแม่ว่า
“สู้พ่อแม่ของคนอื่นก็ไม่ได้” คำพูดนี้ เมื่อพูดออกไป ต่อให้ม้าฝีเท้าไว
ก็วิ่งตามไปเก็บกลับคืนมาไม่ทัน แล้วมันจะกลายเป็นตราบาปติดตัวคุณไปทั้งชีวิต
2. ไม่โทษพ่อแม่ว่าจู้จี้จุกจิก พ่อแม่เกิดมาก่อนเรา มีประสบการณ์มากกว่าเรา อย่าตะคอกท่าน
เมื่อท่านจ้ำจี้จำไชให้กินข้าว ให้ใส่เสื้อผ้าหนาๆ ให้ใส่หมวกกันน็อก ให้กลับบ้านเร็วๆ ให้เก็บห้อง ให้.. ฯลฯ
เพราะคนที่รักเราจริงเท่านั้น ที่จะจู้จี้ในเรื่องนี้กับเรา พ่อแม่ไม่มีทางจู้จี้กับคนที่ไม่ใช่ลูกหลานของท่านแน่นอน หรือคุณว่าไม่จริง
3. ไม่โทษพ่อแม่ที่ท่านบ่นว่า ที่พ่อแม่บ่นว่าก็เพราะเราทำไม่ได้ดี ที่บ่นว่าไม่ใช่เพื่อตัวท่านเอง แต่เป็นเพราะเพื่อเรา
ไม่มีพ่อแม่คนไหนที่ไม่รักลูกของตนเอง ไม่มีพ่อแม่คนไหนที่ไม่อยากให้ลูกเจริญก้าวหน้ากว่าตนเอง
ไม่มีพ่อแม่คนไหน ที่ไม่อยากให้ลูกของตนเป็นอภิชาตบุตร ที่เก่งกล้าสามารถกว่าตนเอง
4. ไม่โทษพ่อแม่ว่าชักช้า ยามพ่อแม่แก่เฒ่า อย่าด่าทอว่าท่านทำอะไรชักช้า หากเรายังไม่เคยเป็นพ่อแม่
เราไม่มีทางรู้เลยว่าคนเป็นพ่อแม่ ต้องใช้ความรัก ความอดทนมากเพียงใด ในการสอนให้เราเดิน
สอนให้เรากิน สอนให้เราอาบน้ำ สอนให้เรา.. ฯลฯ ยามที่ท่านหนุ่มสาว ท่านทุ่มกำลังแรงกายเพื่อพวกเรา
มาบัดนี้ร่างกายจึงทรุดโทรม หากวันหนึ่งพ่อแม่แก่ชราลง กำลังวังชาเริ่มเสื่อมถอย จงจำไว้
“เห็นพ่อแม่ในวันนี้ ดุจเห็นตนเองในวันข้างหน้า” เรื่องกตัญญู ต้องรีบลงมือทำ
5. ไม่โทษพ่อแม่ยามท่านป่วยไข้ ไม่ว่าพ่อแม่จะยุ่งเพียงไร จะดึกดื่นเพียงไหน จะฝนตกแดดออกปานใด
พอเราเจ็บไข้ ท่านจะละทิ้งการงานในทันที ท่านจะพาเราไปหาหมอในทันที ท่านจะหาวิธีเยียวยารักษาเราในทันที
ยามที่ท่านป่วยไข้ เราทำเหมือนที่ท่านทำให้เราได้มากน้อยเพียงใด? หรือว่าเพราะพ่อแม่เจ็บป่วยนานวัน
จึงทำให้ลูกไม่กตัญญูดูแลหรือ? หรือเราอยากจะเป็นคนที่สังคมตราหน้า ว่าเป็นลูกอกตัญญูเพิ่มขึ้นอีกคนหนึ่ง
พ่อแม่ให้กายสังขารมา มิใช่ให้เรามาคอยกล่าวโทษท่าน ในขณะที่เราโตขึ้น พ่อแม่ก็เริ่มแก่ชราลง
จวบจนลาโลก ลาลูกหลานไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ ไม่มีพ่อแม่ก็ไม่มีเรา โทษกล่าวพ่อแม่ มิสู้เข้าใจพ่อแม่
หากแม้แต่พ่อแม่คุณยังให้อภัยไม่ได้ แล้วจะไปให้อภัยใครในโลกใบนี้ได้?
ร้อยพันความดีงาม ความกตัญญูมาเป็นอันดับที่หนึ่ง เริ่มจากวันนี้ เวลานี้ อย่าได้กล่าวโทษพ่อแม่อีกต่อไป
ขอขอบคุณ : นุสนธิ์บุคส์