เราทุกคนควรจะใช้ชีวิต ใช้จ่ายเงินกันอย่างไร ต้องปรับตัว
หรือต้องเจอกับอะไรบ้าง มาดูกันว่าต่อจากนี้ไป จะมีอะไรเปลี่ยนแปลง
1. การคอร์รัปชั่น การโกง จะมีให้เห็นบ่อยขึ้น
คนฉวยโอกาสจะมีมากขึ้น เพราะการขาดเงิน ไม่มีเงินใช้ คนเลยขาดจิตสำนึกได้ง่ายกว่าเดิม
ทำทุกอย่างเพื่อได้เงินมา สนองความต้องการของตัวเอง เวลาจะซื้อขายหรือทำธุรกรรมอะไร
เราต้องรอบคอบรัดกุมอยู่เสมอ อย่าเปิดช่องโหว่ให้คนอื่นเข้ามาเอาเปรียบเราได้เด็ดขาด
2. เงินจะอยู่เหนือคนมากขึ้น
ทุกคนต่างก็พยายาม ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มันมา บางคนจะไม่สนใจเลยว่าใครจะลำบาก
หรือเดือดร้อนมากแค่ไหน ขอแค่ได้เงินมาก็พอ ดังนั้น เราควรระมัดระวังตัวไว้ให้ดี
อย่าเชื่อใจใคร ที่สำคัญคือ อย่าโลภอยากได้ของคนอื่น หรือหวังจะกอบโกยอะไรง่ายๆ
เกินความเป็นจริง เพราะจะมีพวกมิจฉาชีพ แฝงมาในรูปแบบต่างๆ เยอะมาก
3. ค่าครองชีพจะสูงขึ้นอีก
ข้าวของทุกอย่างแพงขึ้น แต่เงินทองกลับหายากกว่าเดิม หากวันนี้เราใช้จ่ายไม่ระวัง
จะต้องเสียใจภายหลังแน่นอน สิ่งของฟุ่มเฟือยต่างๆ ควรพักไปก่อน ใช้จ่ายเท่าที่จำเป็น
เก็บเงินไว้ดีกว่า อย่าคิดว่าตัวเองจะไม่กระทบ ยุคนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น
4. อิสรภาพทางการเงินจะเอื้อมถึงได้ยาก
การที่มีรายได้เข้ามามากกว่ารายจ่าย โดยที่เราไม่ต้องทำงาน
นั่นแหละคือ อิสรภาพทางการเงิน คนสมัยก่อนจะนิยมฝากเงินเพื่อเอาดอกเบี้ย
เก็งกำไรที่ดิน-อสังหาฯ หรือซื้อหุ้นพื้นฐานดีเพื่อรับเงินปันผล รวมไปถึงการประกอบธุรกิจ
ที่สามารถจ้างคนอื่นมาดูแลให้ได้ โดยที่เจ้าของไม่ต้องลงไปดูแลเอง
ขนาดระดับเซียน ยังล้มระเนระนาด เอาตัวแทบไม่รอด
ก็ไม่แปลกที่อิสรภาพทางการเงิน จะเอื้อมถึงได้ยากกว่าเดิม
5. ระวังเรื่องปัญหาครอบครัว
พ่อแม่ต้องออกจากบ้าน ไปทำงานหาเงิน งานก็หนัก เงินก็น้อย
แทบไม่พอค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือน ทั้งยังต้องแบ่งเวลาให้กับลูกอีก
ด้วยภาวะกดดันเช่นนี้ จึงต้องระวังเรื่องอารมณ์ของตัวเองให้ดี
อย่าเห็นคนอื่นเป็นที่ระบายอารมณ์ ทุกคนมีหัวใจ มีความรู้สึกเหมือนกัน
6. เงินจะหายาก
หากยังมีช่องทางสร้างรายได้อยู่ จงรักษามันไว้ให้นานที่สุด
อย่าทิ้งงานทิ้งรายได้เด็ดขาด ไม่งั้นจะนึกเสียใจทีหลัง
ต่อให้เหนื่อยหรืออึดอัดยังไง ก็ต้องทนไปก่อน อย่างน้อยก็ยังมีกินมีใช้
ตั้งใจเก็บทุนสำรอง ให้เราอยู่ได้สบายๆ สัก 1-2 ปี แล้วต่อยอดไปทำอย่างอื่น
ควบคู่กับงานหลัก จะช่วยให้มั่นคงยิ่งขึ้น การมีรายได้จากหลายๆ ทาง
ก็เหมือนมีหลอดไฟหลายดวง ถ้าหลอดนึงขาด ก็ยังมีหลอดอื่นให้แสงสว่างได้อยู่
แต่ถ้าเรามีหลอดไฟแค่ดวงเดียว เมื่อหลอดขาดชีวิตจะมืดแปดด้านทันที
7. เตรียมรับมือ ยุคดอกเบี้ยเงินฝาก 0%
เงินจะล้นระบบ แต่ไม่ใช่เงินสำหรับทุกคนนะ อย่าเข้าใจผิด เมื่อเงินล้นระบบ
จะล้นไปอยู่ในมือคนรวย ซึ่งคนรวยๆ มีจำนวนน้อยมากๆ หากเทียบกับคนจน
ฉะนั้น มันจึงเกิดการใช้จ่ายที่น้อยตามไปด้วย เมื่อจ่ายน้อยก็จะส่งผลกระทบแบบโดมิโน่
คือพ่อค้าแม่ค้าไม่มีคนซื้อ ของขายไม่ได้ ตลาด ห้าง ไม่มีคนเดิน คนส่วนมากไม่มีเงิน
ที่จะเอาไปใช้จ่าย พอเศรษฐกิจไม่ดี บริษัทและโรงงานต่างๆ ก็ต้องปิดตัวลง
8. ผู้สูงอายุต้องกลับมาทำงาน
ปกติคนวัยนี้ส่วนใหญ่ มักจะวางแผนเพื่อให้มีเงินเก็บ ไว้ใช้หลังเกษียณ
ในจำนวนมากเพียงพอ ที่จะหวังเก็บกินดอกเบี้ย จากการฝากธนาคารได้บ้าง
แต่ถ้าหากเงินฝากไม่มีดอกเบี้ย ก็จะทำให้เงินเก็บค่อยๆ ถูกใช้ไปจนหมด
สุดท้ายก็กลายเป็นว่า ผู้สูงอายุต้องกลับมาทำงาน เพื่อหาเงินเลี้ยงตัวเองอีกครั้ง
9. ความเหลื่อมล้ำจะมากขึ้น
คนที่ปรับตัวเก่ง เรียนรู้เร็ว จะสามารถพัฒนาเป็นคนรวยได้ในไม่กี่ปี
ส่วนคนที่ก้าวตามเทคโนโลยีไม่ทัน จะถูกผลักลงไปอยู่กับคนชั้นล่าง
คนรวยก็จะรวยยิ่งขึ้น ในขณะที่คนจน หาเช้ากินค่ำ ต้องทำงานหนัก
หาเลี้ยงชีพไปตลอดชีวิต ต่อจากนี้จึงต้องเลิกแข่งขันกันที่เกรดเฉลี่ย
เลิกเอาปลาไปปีนต้นไม้ เลิกเอานกไปแข่งว่ายน้ำ เลิกวัดความสำเร็จ
ที่ตำแหน่ง อาชีพการงาน แต่ต้องค้นหาความถนัดของตัวเองให้เจอ
แล้วต่อยอดเป็นธุรกิจ หรือมุ่งเน้นไปที่การค้าขาย
สุดท้ายคือต้องเรียนรู้การลงทุน หากจับถูกจังหวะ จะสามารถพลิกฐานะได้ไม่ยาก
ส่วนคนที่ไม่เปิดใจเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ไม่เปิดรับแนวความคิดใหม่ๆ
ยังยึดติดกับความสำเร็จเดิมๆ ก็มีโอกาสสูงที่จะถูกทอดทิ้งไว้ข้างหลัง