1. ปรับตารางการเงินเสียใหม่
สำรวจรายรับ-รายจ่ายในแต่ละเดือน เพื่อให้รู้สถานะทางการเงินที่แท้จริง จะได้วางแผนใช้เงินและออมเงินได้เหมาะกับตัวเอง
เพราะมีหลายคนที่ออมเงินไม่ตรงกับสไตล์การใช้ชีวิต ทำให้เสียเงินไปกับเรื่องไม่จำเป็น และเป็นหนี้เพิ่มขึ้น
เช่น บอกว่าให้ออมเงิน 10% ของเงินเดือน ซึ่งถ้าหากคุณมีเงินเดือนประมาณ 1.5 หมื่นบาท แต่มีหนี้เกินกว่า 40%
ของเงินเดือน คือ 6,000 บาท เท่ากับเหลือเงินใช้ 9,000 บาท ซึ่งที่เหลือนี้คุณต้องจ่ายให้กับค่าใช้จ่ายประจำในแต่ละเดือน
อย่างค่าบ้าน 3,000 บาท ค่าโทรศัพท์ 600 บาท ค่าน้ำค่าไฟ 800 บาท ส่งเงินให้ครอบครัว 2,000 บาท
รวมๆ แล้วคุณเหลือเงินใช้ทั้งเดือนเพียง 2,600 บาทเท่านั้น ซึ่งเมื่อต้องหักเงินออม 10% ของเงินเดือน
ก่อนที่จะใช้จ่ายอย่างอื่น ก็เท่ากับว่าเงินในแต่ละเดือนของคุณ จะติดลบและไม่พอใช้แน่นอน
อาจตามมาด้วยการเริ่มต้นเป็นหนี้ และคุณภาพชีวิตในแต่ละวัน..ก็ไม่ดีด้วย
2. เปลี่ยนพฤติกรรมการใช้เงิน
สำรวจพฤติกรรมของตัวเองว่า มีอะไรที่เป็นอุปสรรคต่อการเก็บเงิน อย่างเช่น ชอบใช้เงินเกินตัว จนเป็นสาเหตุที่ทำให้มีหนี้สิน มีนิสัยชอบสร้างหนี้
ชอบใช้ของเกินฐานะ หรือหมดเงินกับของที่ไม่จำเป็น คุณจะต้องแก้ไขพฤติกรรมเหล่านี้โดยด่วน ตัดทอนการใช้จ่ายบางอย่างออกไป
3. เริ่มเก็บเงินจากจุดเล็กๆ
ช่วงเริ่มต้นที่เงินเดือนไม่มาก และยังมีหนี้สินล้นพ้นตัว อาจจะต้องเริ่มเก็บเงินจากสิ่งเล็กๆ ก่อน เช่น
เงินเหรียญที่เหลือจากค่าใช้จ่ายในแต่ละวัน หยอดใส่กระปุกออมสินเอาไว้ในทุกๆ วัน หรือเก็บเศษของเงินเดือนในแต่ละเดือน
เช่น เงินเดือน 15,650 บาท ให้เก็บเอาไว้ 650 บาท เป็นต้น เป็นการเริ่มต้นออมเงินอย่างง่ายๆ ที่ไม่ทำให้คุณต้องลำบากมากนัก
4. จัดการหนี้สินอย่างเป็นระบบ
อุปสรรคที่สำคัญอย่างหนึ่งของความมั่งคั่ง ก็คือหนี้สิน จึงต้องจัดการกับปัญหาหนี้สินให้เป็นระบบก่อน
กัดฟันใช้หนี้จำนวนน้อยๆ ก่อน จะได้ลดภาระหนี้สินในเดือนต่อๆ ไปให้ลดน้อยลง เริ่มจากเมื่อได้เงินก้อนใหญ่อย่างโบนัส
หรือเงินจากการทำงานพิเศษ ให้นำมาปิดหนี้สินที่มียอดน้อยๆ ก่อน ส่วนหนี้ที่มียอดสูงๆ ก็จ่ายเพียงขั้นต่ำไปก่อนเพื่อประคองตัว
จากนั้นเมื่อหนี้สินก้อนเล็กๆ หมดไป ก็จะทำให้เหลือเงินในแต่ละเดือนเยอะขึ้น และค่อยทยอยจ่ายหนี้ก้อนใหญ่ต่อไป
5. ใช้เงินให้น้อยลง ประหยัดให้มากขึ้น
จากการประหยัดค่าใช้จ่ายเล็กๆ น้อยๆ เช่น ปิดไฟดวงที่ไม่จำเป็น ประหยัดน้ำ เพื่อลดค่าใช้จ่าย
เกี่ยวกับค่าน้ำ-ค่าไฟประจำเดือน ใช้โทรศัพท์แบบเติมเงิน แทนการใช้รายเดือน และใช้เท่าที่จำเป็น ซื้อกับข้าวมาทำเอง
และทำอาหารไปกินที่ทำงาน อร่อยแถมยังได้รับประทานอาหารที่มีประโยชน์อีกด้วย เลือกซื้อของลดราคา
แต่ต้องพิจารณาดูแล้วว่า เป็นของที่จำเป็นต้องใช้จริงๆ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการซื้อของเข้าบ้านได้อีกเพียบ
6. แบ่งเงินใช้ในแต่ละวันให้พอดี
เช่น วันละ 200 บาท อย่าพกเงินติดตัวทีละเยอะๆ แต่ละวันหยิบเงินมาใช้แค่จำนวนพอดี เพื่อบังคับให้ใช้เงิน
เท่าที่จำเป็นในจำนวนเงินที่มีอยู่ หลายคนเวลาเข้าร้านสะดวกซื้อ เพราะตั้งใจซื้อของแค่อย่างเดียว
แต่เมื่อเข้าไปในร้านก็อดไม่ได้ที่จะหยิบของชิ้นอื่นๆ เพิ่ม ดังนั้น หยิบเงินไปแค่พอซื้อของที่ต้องการก็พอ
7. หารายได้เพิ่ม
ถ้ารายได้น้อย ไม่ค่อยพอกับค่าใช้จ่าย ต้องหารายได้เสริมเพื่อให้มีเงินมากขึ้น โดยอาจจะเริ่มจาก
งานเสริมพาร์ทไทม์ช่วงเย็นหลังเลิกงาน หรือช่วงเสาร์-อาทิตย์ หากมีความรู้พิเศษเฉพาะทาง
ก็สามารถรับงานฟรีแลนซ์มาทำได้ เพื่อให้มีเงินเพียงพอกับค่าใช้จ่าย เสริมสภาพคล่องในแต่ละเดือนให้มากขึ้น
8. ตั้งเป้าหมายในการออมเงิน
สัญญากับตัวเองไว้ว่า ภายใน 1 ปี จะต้องมีเงินเก็บเท่าไหร่ เพื่อที่จะได้มีแรงจูงใจในการเก็บเงิน
โดยอาจจะทำเป็นสมุดจดบันทึก เพื่อให้เห็นพัฒนาการของจำนวนเงินเก็บในแต่ละวัน หรือแต่ละสัปดาห์เพิ่มมากขึ้นแค่ไหน
และต้องเก็บเงินอีกเท่าไหร่ จึงจะถึงเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ ทำไปเรื่อยๆ ก็จะติดนิสัยรักการออมได้ในที่สุด