W.Randall Jones เขียนหนังสือชื่อ The Richest Man In Town โดยการสัมภาษณ์และวิเคราะห์คุณสมบัติ
นิสัย แนวความคิด ปรัชญาการใช้ชีวิต และอื่น ๆ ของคนที่รวยที่สุดในเมืองต่างๆ ของอเมริกาจำนวน 100 คน
เขาพบลักษณะร่วมของคนที่เป็นมหาเศรษฐี 12 ประการ มาดูกันว่ามีอะไรบ้าง
1. ไม่หาเงินเพื่อเงิน
การทำอย่างนั้นคุณจะไม่ได้เงิน เงินจะมาก็ต่อเมื่อคุณทำในสิ่งที่ถูกต้อง และด้วยวิธีที่ถูกต้อง ทำในสิ่งที่คุณรัก
และมีความหลงใหลที่จะทำ คุณต้องทำในสิ่งที่มีคุณค่า เป็นประโยชน์ แล้วเงินจะมาเอง มันเป็นผลพลอยได้
ในมุมของ VI หรือนักลงทุนเน้นคุณค่า ผมคิดว่ามันถูกต้องตรงกัน อย่าลงทุนแบบจ้องหา
หรือหมกมุ่นกับผลตอบแทนเกินไป มีความสุขกับการลงทุน ทำหรือเลือกลงทุนอย่างถูกต้อง เงินจะมาเอง
2. รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร
รู้จุดอ่อนจุดแข็งของตัวเอง ที่สำคัญต้องรู้ว่า อะไรคือความสามารถ หรือความเชี่ยวชาญที่สุดของตัวเอง
ถ้าคุณคิดว่าต้องไปทำงานทุกวัน นั่นก็ผิดแล้ว งานจะไม่ใช่งานถ้าคุณทำแล้วมีความสุข และเป็นสิ่งที่คุณอยากทำ
วอเร็น บัฟเฟตต์ เคยบอกกับซูซี่ อดีตภรรยาที่ล่วงลับไปในตอนที่แต่งงานกันใหม่ๆ ว่า เขาจะต้องรวย
เหตุผลไม่ใช่เพราะเขาทำงานหนัก หรือมีความเก่งเป็นพิเศษ แต่เป็นเพราะเขาเกิดมาด้วยทักษะที่ถูกต้อง
ในสถานที่ที่ถูกต้อง และในเวลาที่ถูกต้อง นั่นคือทักษะในการจัดสรรเงินทุน หรือก็คือการลงทุนนั่นเอง
3. เป็นนายของตัวเอง
คุณไม่สามารถรวยได้โดยการทำงานให้คนอื่น เรื่องนี้ผมคงไม่ต้องอธิบายกับ Value Investor เพราะนักลงทุนนั้น ทุกคนเป็นนายของตัวเอง
4. เสพติดความทะเยอทะยาน
คนเราทุกคน ต่างก็เสพติดอะไรบางอย่าง หรือหลายอย่างในชีวิต เราติดกาแฟ ติด Internet ติดเหล้า ติดเซ็กส์ ติดอำนาจ
เราต้องคิดว่าติดอะไรแล้วจะเป็นประโยชน์ มหาเศรษฐีบอกว่า “ไม่มีความมั่งคั่ง ถ้าไม่มีความทะเยอทะยาน”
ทำอะไรสำเร็จแล้วก็ต้องพยายามทำให้สูงขึ้นเรื่อยๆ อย่างไรก็ตาม ความทะเยอทะยานนั้นมีด้านมืด
มันอาจทำให้เรามีความมั่นใจในตัวเองสูงเกินไป และเป็นอันตราย ความทะเยอทะยานนั้น
ควรจะมีวัตถุประสงค์ชัดเจน และเราจะต้องไม่ปล่อยให้มันอยู่เหนือการควบคุมของเรา
5. ตื่นเช้า มาถึงก่อน เริ่มตั้งแต่อายุน้อย
ในเรื่องของการทำงานทั่วไป และในฐานะของผู้บริหาร หรือผู้ประกอบการนั้น ผมคิดว่าต้องทำทั้งสามเรื่อง
แต่ในเรื่องของการลงทุน ผมคิดว่าการเริ่มตั้งแต่อายุน้อย เป็นสิ่งที่จะทำให้มีโอกาสประสบความสำเร็จสูง
และเป็นเศรษฐีได้ง่ายที่สุด แนวทางข้อนี้ค่อนข้างจะต้องสัมพันธ์กับข้อสอง นั่นคือ
ถ้าคุณสามารถค้นพบตัวเอง ว่าเก่งทางไหนตั้งแต่อายุน้อย ความสำเร็จก็ไม่หนีไปไหน
6. อย่าตั้งเป้าหมาย
ลงมือทำให้สำเร็จทีละน้อย เดินหน้าไปทุกวัน เป้าหมายหรือแผนธุรกิจนั้นพอเขียนเสร็จก็ล้าสมัยแล้ว
มหาเศรษฐีบางคนไม่มี Business Plan และไม่ตั้งแม้แต่เป้ายอดขายด้วยซ้ำ ข้อนี้ฟังดูเหลือเชื่อ
ผมคิดว่าเป้าหมายคงอยู่ในใจ และเป็นเป้ากว้างๆ ที่จะช่วยบอกทิศทาง พวกเขาเน้นที่การปฏิบัติว่าต้องได้ผล
มากกว่าการตั้งเป้าแต่ปฏิบัติไม่สำเร็จ นักลงทุนเองก็ควรคิดว่า Execution หรือการปฏิบัตินั้น
สำคัญกว่าเป้าหมายมาก ถ้าเราลงทุนแล้วพอร์ตเราโตขึ้นเรื่อยๆ นี่แหละความสำเร็จ
7. อย่ากลัวความล้มเหลว
ทางเดียวที่จะประสบความสำเร็จก็คือ กล้าที่จะล้มเหลว และล้มเหลวต่อหน้าสาธารณชนด้วย
ทุกคนจะต้องเคยล้มเหลวมาบ้าง ไม่มีใครประสบความสำเร็จตลอด โดยที่ไม่มีความล้มเหลวมาคั่น
ถ้าเรากลัวความล้มเหลว เราจะไม่กล้าทำอะไร และที่จริงไม่มีคำว่าล้มเหลว ยกเว้นว่าคุณจะล้มเลิก
การลงทุนนั้นก็เช่นเดียวกัน ไม่มีทางที่คุณจะประสบความสำเร็จตลอด อย่าเลิกเมื่อขาดทุนหนัก สู้ต่อไป วันหนึ่งจะชนะ
8. ทำเลไม่สำคัญ
ทำเลที่ว่านี้คือสถานที่ที่คุณอยู่ หรือที่ที่คุณทำงาน ไม่ว่าคุณจะอยู่เมืองไหน คุณสามารถประสบความสำเร็จได้
ไม่ต้องย้ายไปอยู่เมืองใหญ่ หรือเมืองธุรกิจหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคปัจจุบัน ที่เรามีเครือข่ายการสื่อสารที่ทรงประสิทธิภาพ
บัฟเฟตต์นั้นอยู่ที่เมืองโอมาฮา รัฐเนบราสกา ซึ่งเป็นเมืองทางการเกษตรมาตั้งแต่เริ่มธุรกิจลงทุนเมื่อ 50 ปีก่อน
ที่การสื่อสารยังไม่ดีนัก แทนที่จะอยู่ที่นิวยอร์ค หรือบอสตันที่เป็นศูนย์กลางทางการเงินและการลงทุน
ผมเองคิดว่านักลงทุนไม่จำเป็นต้องอยู่ที่กรุงเทพ ถึงจะประสบความสำเร็จในการลงทุน บางทียิ่งห่างอาจจะยิ่งดี
9. ยึดมั่นในจรรยาบรรณทางธุรกิจ
นี่เป็นกฎเหล็กที่สำคัญที่สุด วอเร็น บัฟเฟตต์ พูดว่า “ชื่อเสียงนั้นใช้เวลา 20 ปีในการสร้าง แต่ใช้เวลาแค่ 5 นาทีในการทำลาย ดังนั้นคุณต้องสำนึกไว้ตลอดเวลา”
10. เน้นที่การขาย
ไม่มีอะไรเกิดขึ้นจนกว่าบางสิ่งบางอย่างจะถูกขายออกไป นักลงทุนไม่ได้ขายอะไร แต่ต้องรู้ว่า
บริษัทที่เราลงทุนนั้นขายอะไร และการขายเป็นหัวใจของความสำเร็จของบริษัท และเป็นความสำเร็จของราคาหุ้น
ในความรู้สึกของผม ผมคิดว่า VI จำนวนมากชอบดูกำไรซึ่งเป็นบรรทัดสุดท้าย แต่ไม่ค่อยดูยอดขายที่เป็นบรรทัดแรกในงบการเงิน
11. ขอยืมไอเดียจากคนที่เก่งที่สุด และคนที่แย่ที่สุด
การอ่านประวัติ และวิธีคิดของคนที่ยอดเยี่ยมที่สุด อย่างการลงทุนของบัฟเฟตต์นั้น ผมคิดว่าไม่มีอะไรมาทดแทนได้
12. ไม่มีวันเกษียณ
การเกษียณจะทำให้ชีวิตคุณล้มเหลว การเกษียณเป็นอันตรายต่อสุขภาพ การเกษียณเป็นอันตรายต่อความสนุกในชีวิต
อันตรายต่อความมั่งคั่งส่วนตัว นักลงทุนไม่มีวันเกษียณ บัฟเฟตต์และมังเจอร์ อายุเกือบ 80 ปีแล้ว ยังทำงานทุกวัน
แม้แต่ปีเตอร์ ลินช์ หรือ จอห์น เนฟฟ์ ที่เกษียณจากการบริหารกองทุนรวม แต่พวกเขาก็ยังบริหารกองทุนส่วนตัวอยู่
ที่มา : s o f t b a n k t h a i