เรือสำราญกำลังล่องอยู่กลางทะเล จู่ ๆ ก็มีพายุลูกใหญ่ ทำให้เรือสำราญลำนี้กำลังจะล่มจมทะเลในไม่ช้า
ในขณะนั้น คู่สามีภรรยาพยายามที่จะเอาชีวิตรอด รีบวิ่งไปหยิบเสื้อชูชีพ แต่ชูชีพนั้นเหลือแค่ตัวเดียว ที่นั่งบนเรือชูชีพก็รับได้อีกแค่คนเดียวเท่านั้น
สามีมองตากับภรรยา จากนั้นสามีก็หยิบชูชีพมาสวม แล้วลงเรือชูชีพไป ทิ้งให้ภรรยาจมลงไปพร้อมกับเรือสำราญ
เมื่อเล่ามาถึงตรงนี้ คุณครูได้ถามนักเรียนว่า “พวกเธอคิดว่า ภรรยาจะพูดอะไรกับสามี”
นักเรียนต่างแสดงความคิดเห็นด้วยความไม่พอใจ เธอต้องบอกว่า.. “คุณมันเห็นแก่ตัว” “ฉันมองคุณผิดไปจริง ๆ” “คุณทิ้งฉันแบบนี้ได้ยังไง”
แต่แล้วก็มีนักเรียนคนหนึ่ง แสดงความคิดเห็นที่แตกต่างออกไป “เธอคงจะพูดว่า.. ดูแลลูกของเราดี ๆ นะ แน่เลยค่ะ”
คุณครูตกใจกับคำตอบของนักเรียนคนนี้ พร้อมถามว่า “เธอเคยฟังเรื่องนี้มาแล้วใช่ไหม”
นักเรียนจึงตอบว่า “เปล่าค่ะ แต่ตอนที่แม่หนูป่วยหนัก แม่ก็พูดแบบนี้กับพ่อเหมือนกัน”
คุณครูพยักหน้า แล้วเล่าต่อ “ใช่แล้วจ้ะ ภรรยาได้บอกให้สามีดูแลลูก ๆ ของทั้งคู่ให้ดี”
สามีได้ดูแลลูก ๆ จนเติบใหญ่ด้วยความรักเป็นอย่างดี ตามที่ได้สัญญาไว้กับภรรยา
หลายปีผ่านไป ผู้เป็นสามีก็ได้จากไป และลูกสาวก็ได้พบกับไดอารี่ของพ่อ และได้รู้ความจริงที่ว่า
พ่อกับแม่ได้เคยไปเที่ยวเรือสำราญด้วยกัน จนเจอมรสุมลูกใหญ่ พ่อฉวยโอกาสเดียวที่จะมีชีวิตรอด เพราะแม่ก็กำลังป่วยหนัก
จึงต้องมีคนอยู่ดูแลลูกให้ดี และเขียนไว้ว่า “ฉันอยากจะจมทะเลไปพร้อมกับเธอเหลือเกิน แต่เพื่อลูกของเรา ฉันจึงทำไม่ได้”
เมื่อคุณครูเล่าจบ ก็ได้สอนว่า.. บางทีโลกใบนี้ก็สร้างความสับสนให้กับเรามากเหลือเกิน ความดี ความชั่ว
อาจจะตัดสินได้ยากจากการกระทำอย่างเดียว เพราะเราไม่มีทางรู้เลยว่า เบื้องหลังเรื่องราวนั้น มีอะไรซ่อนอยู่อีกหรือเปล่า
ฉะนั้น เราไม่ควรที่จะตัดสินใครเพียงแค่ผิวเผิน
คนที่เขาช่วยเหลือคุณทุกครั้งที่คุณขอร้อง ไม่ใช่ว่าเขาติดหนี้บุญคุณอะไร แต่เขาเห็นคุณเป็นเพื่อนแท้
คนที่เขาชอบแย่งจ่ายบิลก่อน ไม่ใช่เพราะเขาต้องการอวดรวย หรือมีเงินมากกว่า แต่เขาเห็นมิตรภาพสำคัญกว่าเงินทอง
คนที่เขาทำงานมากกว่าคนอื่น แม้บางทีจะไม่ใช่หน้าที่เขา ไม่ใช่เพราะว่าเขาโง่หรือยอม
แต่เป็นเพราะว่าเขารู้หน้าที่ตัวเอง ไม่ชอบเอาเปรียบใคร และมีน้ำใจต่อผู้อื่น