เชื่อว่า ในทุก ๆ ออฟฟิศจะต้องมีอย่างน้อยก็หนึ่งคน ที่เป็น “ที่สุดของความเอือม”
เข้ากลุ่มไหน วงแตกที่นั่น เพื่อนร่วมงานไม่ค่อยอยากจะเสวนาด้วย
1. โมโหร้าย ความฉลาดทางอารมณ์ต่ำ
ต่อให้คุณมี IQ ฉลาดระดับไอน์สไตน์ ก็อาจไม่สามารถอยู่รอดในสนามธุรกิจได้ ถ้าขาด EQ
ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะจะช่วยให้ความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง เป็นไปอย่างราบรื่น
ผลเสียของการมีความฉลาดทางอารมณ์ต่ำ เป็นได้ตั้งแต่การสอบตกเรื่องทักษะการสื่อสาร
ทำลายความน่าเชื่อถือของตัวคุณเอง ทำให้คนอื่น ๆ รู้สึกไม่เชื่อมั่นในตัวคุณ ไปจนถึงเป็นพิษต่อธุรกิจ
ส่งผลกระทบต่อทุกคนที่คุณติดต่อด้วย คนที่มี EQ ดี จะสามารถเข้าอกเข้าใจคนอื่น
รู้ทันอารมณ์ของตัวเอง รวมถึงรับรู้ถึงอารมณ์ และความต้องการของคนรอบข้างได้อย่างดี
ทำให้คุณรู้วิธีที่จะสร้างแรงจูงใจ ให้เพื่อนร่วมงานหรือพนักงาน ทำในสิ่งที่คุณต้องการ
ยิ่งมี EQ ดีมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งสามารถสร้างทีมเวิร์กในฝันให้เกิดขึ้นได้เท่านั้น
2. มาจากดาว “ช่างแซะ”
เบื่อไหม เวลามีเพื่อนร่วมงานช่างแซะ แขวะมันซะทุกเรื่อง แม้ว่า การจิกกัดเล็ก ๆ น้อย ๆ
อาจดูเป็นเรื่องสนุก เป็นความบันเทิงชนิดหนึ่งในออฟฟิศ แต่ถ้ามากเกินไปหรือล้ำเส้น
คุณก็อาจกลายเป็นตัวน่ารังเกียจของคนอื่น ๆ ได้ ถ้าคิดว่า การเหน็บแนม จิกกัด
หรือสร้างเรื่องตลกจากข้อด้อยของคนอื่น จะทำให้คุณดูฉลาดแล้วล่ะก็ บอกได้เลยว่า คุณคิดผิด
โดยเฉพาะคำพูดเชิงดูถูกเสียดสีให้คนอื่นดูแย่นั้น ขอให้เลิกเลยจะดีที่สุด คนฉลาดเขาไม่ทำกันแบบนี้
เพราะยิ่งว่าคนอื่นมากเท่าไหร่ คุณก็ดูแย่มากขึ้นเท่านั้น เลิกนิสัยนี้เสีย แล้วลองดูใหม่ ปฏิบัติต่อทุกคนด้วยดี
มีมารยาท เคารพคนอื่น และบังคับใจตัวเองที่คันปากอยากจะแซะคนอื่นให้ได้
เอาความครีเอทีฟในการช่างแซะ ไปหาวิธีพูดจาให้สร้างสรรค์จะดีกว่า
3. ไม่รู้จัก “ยืดหยุ่น”
การรู้จักคิดวิเคราะห์สิ่งต่าง ๆ ได้ด้วยตัวเอง รวมถึงการเปิดรับคำแนะนำ ติชมจากคนอื่น
ถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คุณ สามารถปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดคิดได้
แม้ว่าการทำตามแผนที่วางไว้ จะเป็นสิ่งจำเป็นต่อธุรกิจ แต่ถ้าคุณเข้มงวดหรือเถรตรงจนเกินไป
ไม่ว่าจะเป็นความคิด ความเชื่อ จนถึงการตัดสินใจใด ๆ มันก็จะทำให้ตัวเลือกของคุณ
มีน้อยเกินกว่าจะปรับเปลี่ยนได้ทันสถานการณ์ แน่นอนว่า มันย่อมส่งผลเสียต่อธุรกิจของคุณ
องค์กรที่ประสบความสำเร็จ ในบางครั้งก็ต้องมีความยืดหยุ่น โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ไม่คาดฝัน
ในวิกฤตก็อาจพลิกเป็นโอกาสได้ ถ้าคุณสามารถสร้างสรรค์โซลูชั่นใหม่ ๆ ขึ้นมาได้
4. สัญญาไม่เป็นสัญญา
ใครที่รู้ตัวว่า เป็นคนเรื่อยเฉื่อย ชอบผัดวันประกันพรุ่ง หรือรับปากอะไรแล้วทำไม่ค่อยจะได้ตามนั้น
ขอให้รู้ว่า คุณกำลังดิสเครดิตตัวเองลงมาเรื่อย ๆ โดยเฉพาะถ้าคุณเป็นผู้นำองค์กรด้วยแล้ว
พฤติกรรมแบบนี้จะทำให้ใคร ๆ ต่างก็ไม่เชื่อถือคุณ ถ้าอยากจะให้ทุกคนยอมรับหรือเชื่อถือในตัวคุณ
สิ่งที่พื้นฐานสุด ๆ ก็คือ สัญญาอะไรไว้ก็ต้องทำตามที่พูด เมื่อนั้นคนรอบข้าง
ไม่ว่าจะเป็นลูกน้อง เพื่อนร่วมงาน จนถึงลูกค้า ก็จะเชื่อมั่นในตัวคุณ
5. ไม่รู้จักอดทนเอาเสียเลย
หนึ่งในตัวแปรที่จะส่งผลให้ธุรกิจ ประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวนั้น ก็คือ
การรู้ว่าตอนไหนควรจะกระโดด หรือตอนไหนควรจะตั้งหลักให้มั่น ถึงแม้ว่าความแอ็คทีฟ กระตือรือร้นจะเป็นเรื่องดี
แต่ก็ต้องรู้หรือเลือกจังหวะให้ถูกกับสถานการณ์ได้ด้วย โดยเฉพาะถ้าจะต้องตัดสินใจอะไรสักอย่าง
คุณก็ควรตั้งสติ วิเคราะห์และเข้าใจเงื่อนไขต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อตัดสินใจอย่างเหมาะสม
ทริคก็คือ ให้ลองถอยกลับมาตั้งหลัก แล้วทบทวนอย่างรอบคอบ
มีความอดทนในการพิจารณาภาพรวมที่ใหญ่กว่า ซึ่งถ้าคุณใจร้อน
หรือด่วนตัดสินใจโดยไม่คิดให้ถี่ถ้วน ก็อาจส่งผลเสียใหญ่หลวงตามมาได้
6. มนุษย์เพอร์เฟคชั่นนิสต์
ยอมไม่ได้ถ้าเห็นอะไรไม่เป็นอย่างที่คิด สำหรับมนุษย์เงินเดือนทั้งหลาย ที่บ่นโอดโอยว่างานหนัก
ลองนึกถึงหน้าบอสสุดที่รัก แล้วคิดถึงข้อดีอื่น ๆ ของเขาดู ถ้าบอสของคุณไม่ใช่ประเภทบ้าอำนาจ
ต้องการควบคุมทุกสรรพสิ่งให้เป็นไปอย่างที่ใจคิด ก็ต้องบอกเลยว่า คุณยังโชคดีกว่าอีกหลายคนมากนัก
ในทางกลับกัน ก็ขอให้คุณบอสทั้งหลายลองทบทวนตัวเองดูสักหน่อยว่า คุณเป็นนายประเภทไหน
คุณยอมรับได้หรือไม่ ถ้าเห็นอะไร ๆ ไม่ได้เป็นอย่างที่คิด หรือไม่เพอร์เฟคต์อย่างที่ใจอยากให้เป็น
ถ้าคุณเห็นแล้วรับไม่ได้ จนถึงขั้นหงุดหงิดสุด ๆ แล้วล่ะก็ คงจะถึงเวลาที่คุณต้องปรับเปลี่ยนตัวเอง
ทำใจยอมรับกับอะไรที่ไม่ได้เป็นไปตามแผนดูบ้าง
7. ใจเขาใจเราคืออะไรไม่รู้จัก
สำหรับใครที่ชอบนึกดูถูก มองไม่เห็นหัวใคร หรือพูดถากถาง คนอื่นบ่อย ๆ จนติดเป็นนิสัย
ขอบอกให้รู้เลยว่า คุณกำลังทำสิ่งที่แย่ และน่ารังเกียจมากในความเห็นของคนอื่น
หนำซ้ำพฤติกรรมแบบนี้ ยังอาจส่งผลไปถึงการบ่อนทำลายองค์กรเลยก็ได้นะ
นิสัยปากเสียทำให้คุณดูเป็นคนเกรี้ยวกราด ไม่น่าเข้าใกล้ ในทางกลับกัน การรู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา
รู้จักเข้าอกเข้าใจคนอื่น จะดึงดูดให้ใคร ๆ ก็อยากเข้าหาคุณ เพราะมันทำให้พวกเขารู้สึกดี
รู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า ถ้าเป็นลูกน้อง เขาจะยอมทำงานถวายหัวให้กับคุณ หรือถ้าเป็นลูกค้า
เขาก็จะรู้สึกดีที่คุณใส่ใจ และอยากกลับมาใช้บริการบ่อย ๆ จนกลายเป็นท็อปแฟนของคุณได้อย่างไม่ยาก
8. ใจแคบเท่าพุงมด
ในสถานการณ์ที่เกิด “ความผิดพลาด” คุณมักจะได้เห็นตัวตนที่แท้จริงของใครบางคนเสมอ
คนบางคนก็มักจะชี้นิ้วใส่คนอื่นเวลามีอะไรผิด แล้วเขาก็มักจะมีคำตอบให้กับทุกเรื่อง
ที่สำคัญคือ เชื่อแบบผิด ๆ ว่า ความคิดของตัวเองถูกเสมอ และไม่ค่อยจะยอมฟังใคร
ซึ่งมันน่าจะดีกว่า ถ้าคุณจะยอมเปิดใจรับฟังคนอื่นบ้าง เพราะการได้ถกเถียง รับฟังความเห็นกัน
มันสามารถสร้างทีมเวิร์กที่ดีได้ ถึงแม้ว่า บทสรุปในตอนท้าย ไอเดียของคุณจะยังเป็นทางดีที่สุดก็ตาม
9. หงุดหงิด ขี้บ่น
ไม่มีใครชอบคนที่มองอะไร ก็เห็นแต่เรื่องแย่ ๆ โดยเฉพาะถ้าเห็นแล้วก็มีแต่บ่น
ก็จะยิ่งทำให้คนรอบข้างรู้สึกแย่ไม่อยากจะทำ หรือพัฒนาแก้ไขให้อะไรดีขึ้น
ถ้าคุณมัวแต่หมดพลังงานไปกับการบ่นหรือคร่ำครวญ นั่นหมายถึง คุณเอาแต่เติมพลังลบให้กับตัวเอง
และในขณะเดียวกัน คุณก็กำลังทำให้ไม่มีใครอยากเข้าใกล้คุณอีกด้วย
10. บ้าอำนาจขั้นสุด
สำหรับผู้บริหาร ขอให้ทบทวนตัวเองสักหน่อยว่า คุณเป็นนายประเภท “ต้องทำตามที่บอกเท่านั้น” หรือไม่
ถ้าใช่.. ก็ขอให้รู้ไว้ตรงนี้เลยว่า คุณกำลังปล่อยพิษร้ายขั้นรุนแรง แก่องค์กรเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เมื่อไหร่ที่องค์กรขับเคลื่อนด้วย “ความกลัว” ไม่ว่าจะกลัวมีความผิด กลัวถูกตำหนิ กลัวถูกหักเงินเดือน
กลัวโดนประจาน หรืออะไรก็ตามแต่ มันไม่ใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน โดยเฉพาะถ้าเทียบกับ
การขับเคลื่อนองค์กรด้วยพลังบวก ที่ใคร ๆ ก็อยากแสดงความคิดเห็น อยากทดลองทำอะไรใหม่ ๆ
โดยไม่ต้องกลัวว่า ถ้าทำพลาดไปแล้วจะโดนด่า ความกระตือรือร้นของพนักงานย่อมต่างกันอย่างแน่นอน
แม้ว่ามันจะง่าย เวลาจะสั่งหรือคอนโทรลอะไร ๆ โดยใช้ “ความกลัว” เป็นแรงขับ
แต่คุณก็ต้องแลกกับการทำให้องค์กรไม่มีชีวิต ไร้ความคิดสร้างสรรค์ ทุกคนอยู่อย่างหวาดระแวง
กลัวว่าถ้าทำผิดแล้วจะโดนดุ องค์กรประเภทนี้ไม่มีทางสร้างอะไรดี ๆ ขึ้นได้อย่างแน่นอน
11. หลงตัวเองสุดขอบโลก
ทราบหรือไม่ว่า คนที่หลงตัวเองนั้นถือเป็นภัยขั้นสุด ต่อองค์กรเลยก็ว่าได้
เพราะอีโก้ที่คับอก จะทำให้คุณ “มั่น” ในตัวเอง จนไม่ยอมฟังความเห็นต่างจากใครหน้าไหน
การเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาล ไม่เพียงทำให้เสียโอกาสที่จะได้สร้างสรรค์สิ่งใหม่
คุณยังขยี้ “ใจ” ที่อยากจะทำงานของคนอื่น ๆ ลงจนป่นปี้
อ่านมาถีงตรงนี้ ถ้าใครทบทวนตัวเอง แล้วคิดว่า ตรงกับตัวเองอยู่บ้าง ก็ขอให้เลิกนิสัยเสีย ๆ เหล่านี้ให้ได้
ก่อนที่อะไร ๆ จะแย่จนเกินแก้ ยิ่งโดยเฉพาะผู้ประกอบการ เจ้าของกิจการทั้งหลาย
อย่าคิดว่าเป็นเจ้าของแล้วจะทำอะไรก็ได้ ลองทบทวนตัวเอง และเปลี่ยนเสียก่อนที่ธุรกิจพังคามือ
เพราะไม่ยอมเลิกพฤติกรรมแย่ ๆ เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน
ที่มา m a r k e t i n g o o p s