อยากให้ลูกมีอนาคตดี พ่อกับแม่ต้องมี 3 ข้อ

อยากให้ลูกมีอนาคตดี พ่อกับแม่ต้องมี 3 ข้อ

พ่อแม่หลายคน ชอบช่วยเหลือลูกอยู่ตลอดเวลา เพราะกังวลว่า

ลูกจะทำอะไรหลายๆ อย่างได้ไม่ดีพอ แต่คุณรู้ไหมว่า การทำแบบนี้

จะทำให้ลูกของคุณ กลายเป็นคนอ่อนแอ ไม่สามารถดูแลตัวเองได้

3 ข้อนี้ชี้ว่า หากแม่ช่วยเหลือลูกๆ น้อยลง จะส่งผลดีกับลูกมากขึ้น

1. แม่ต้องขี้เกียจขยับมือ สอนให้ลูกรู้จักพึ่งพาตนเอง

แม่จะไม่เข้าไปช่วยลูก ในสิ่งที่พวกเขาสามารถทำเองได้ เช่น เมื่อห้องนอนของลูก

ไม่เป็นระเบียบเรียบร้อย แม่จะเตือนลูกว่า ควรจัดห้องอย่างไร

เพื่อให้เป็นระเบียบ แต่จะไม่เข้าไปทำให้ลูก แม่ปล่อยให้ลูกได้ทำด้วยตัวเอง

ช่วงเปิดภาคเรียน คุณครูขอให้นักเรียนห่อปกหนังสือเรียนเล่มใหม่ของเทอมนี้

แต่ลูกทำไม่เป็น แม่จึงสอนลูกห่อ 1 เล่มก่อน เป็นตัวอย่างให้ลูกดู

จากนั้นก็ปล่อยให้ลูกลองทำเองทั้งหมด ลูกไม่อยากห่อเอง จึงไม่ยอมขยับมือ

แม่ก็ไม่สนใจ ได้แต่ยืนอยู่ข้างๆ พร้อมชี้นิ้วบอกให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้

แต่ไม่เข้าไปช่วยห่อ ทำให้ลูกต้องนั่งห่อเองทั้งหมด แม่บอกว่า

“ความจริงถ้าแม่จะเข้าไปช่วยห่อ จะประหยัดเวลาได้มาก

แต่ลูกจะไม่มีวันเรียนรู้วิธีห่อปกหนังสือเองได้เลย ดังนั้น

นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุด คือปล่อยให้ลูกห่อเอง แม้ว่าจะห่อไม่เรียบร้อยก็ตาม”

“แม่ขี้เกียจ” ไม่เคยขยันหมั่นเพียร ในการช่วยเหลือลูกทำสิ่งต่างๆ

แต่ให้ลูกทำเอง เพื่อจะได้พึ่งพาอาศัยตัวเอง ช่วยเหลือตัวเองได้

และไม่เฉยเมยต่อการฝึกฝน สร้างความรับผิดชอบให้กับลูก

2. แม่ต้องขี้เกียจบ่นหรือพูดมาก ให้ลูกเรียนรู้ที่จะเติบโตด้วยตนเอง

พ่อแม่หลายคน คาดหวังในตัวลูกมากเกินไป อยากให้ลูกทำตามที่ตัวเองต้องการ

เพราะคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ดีสำหรับลูก แต่การทำแบบนี้จะทำให้ลูกรู้สึกอึดอัด กดดัน

และกลายเป็นไม่อยากฟัง ทำเป็นหูทวนลม ไม่ใส่ใจกับสิ่งที่แม่พูด

แต่มีครอบครัวหนึ่ง ที่กลับทำตรงกันข้ามในช่วงสุดสัปดาห์

ลูกเล่นเกมเป็นเวลานานมาก และไม่ทำการบ้าน

แม่จึงถามเขาว่า “ลูกจะเล่นเกมถึงกี่โมง?”

ลูกตอบว่า “ขอเล่นอีก 10 นาที”

แม่ตอบกลับไปว่า “โอเค ต้องรักษาคำพูดนะ”

พอผ่านไป 10 นาที แม่ก็เดินกลับมาดูอีก ลูกก็ยังคงนั่งเล่นอยู่ที่เดิม

แม่โกรธมาก แต่ก็ต้องสงบสติอารมณ์ แล้วพูดอย่างใจเย็นว่า

“ปกติลูกเป็นคนรักษาคำพูดไม่ใช่เหรอ?”

ในตอนนั้น ลูกเริ่มรู้สึกผิด จึงเดินไปปิดสวิตช์ แล้วรีบทำการบ้านทันที

นั้นเป็นเพราะว่า ก่อนหน้านี้ แม่เคยพูดหลายรอบเกี่ยวกับนิทานเรื่อง

“การเป็นคนน่าเชื่อถือ” และนั่นก็ทำให้ลูกค่อยๆ ซึมซับเข้าไปในจิตใจ

ปกติแม่จะเป็นคนที่ให้ความสำคัญเกี่ยวกับการอ่านหนังสือ ทบทวนตำราเป็นอย่างมาก

จึงได้ซื้อนิทานสร้างแรงบันดาลใจให้อ่านมากมาย และจากนิทานเหล่านี้

ทำให้ลูกเรียนรู้ที่จะนำมาใช้กับตนเอง เสริมสร้างการควบคุมนิสัยของตนเอง

การอดทนอดกลั้น ด้านจิตตานุภาพ เพื่อให้ตนเองเป็นคนที่มีคุณภาพมากขึ้น

“แม่ขี้เกียจ” ไม่ขยันที่จะบ่นทั้งวัน แต่ใช้เหตุผลในการพูดคุย

เพราะเธอรู้ดีว่า ลูกไม่ชอบการบ่น แต่เธอขยันในการหาวิธีรับมือ

เพื่อปลูกฝังจิตสำนึก และคุณภาพที่ดีเยี่ยมให้แก่ลูก

3. แม่ต้องขี้เกียจ ไม่เข้าไปช่วยลูกทำการบ้าน

มีคุณแม่คนหนึ่ง เล่าประสบการณ์ว่า ตนเองไม่เคยไปสอนการบ้านให้ลูกชายเลย

แม่จะเตือนลูกเสมอว่า เวลาไหนควรไปทำการบ้านได้แล้ว

เมื่อทำเสร็จแล้ว ก็บอกแม่คำหนึ่งพอ ส่วนการตรวจสอบว่าลูกชายทำถูกหรือไม่นั้น

เป็นหน้าที่ของตัวเขาเอง หรือให้เรียนรู้ว่าถูกหรือผิดจากที่โรงเรียน

แม่มีหน้าที่แค่เซ็นชื่อเท่านั้น ในตอนแรกลูกชายไม่พอใจเป็นอย่างมาก

โดยบอกว่า “แม่ของคนอื่นจะช่วยตรวจการบ้านให้ด้วย ทำไมแม่ขี้เกียจแบบนี้?”

เธอตอบลูกชายไปว่า “ไม่ใช่เพราะแม่ขี้เกียจหรอกนะ ลูกคิดดูสิ

หากแม่ช่วยลูกตรวจการบ้าน แล้วลูกจะรู้ได้อย่างไรว่าผิดตรงไหนบ้าง

แล้วต่อไปลูกจะตรวจเองเป็นไหม ตอนสอบหากผิดลูกจะรู้ไหมว่ามันผิดตรงไหน

จงจำไว้นะว่าในตอนนั้น ไม่มีใครสามารถมาช่วยลูกตรวจข้อสอบได้

ลูกจะได้ฝึกการตรวจความถูกต้อง และเรียนรู้ด้วยตัวเอง

ในห้องเรียน ลูกจะเจอบทเรียนก่อน จึงจะได้ทำข้อสอบ แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง

ลูกจะเจอบททดสอบก่อน ถึงจะได้บทเรียน นี่คือสิ่งที่ลูกต้องเรียนรู้ให้ได้มากที่สุด”

เธอสอนให้ลูกรู้จักพึ่งตนเอง เมื่อพบเจอปัญหาก็ต้องคิดใคร่ครวญเอง

หากคิดไม่ออกจริงๆ ค่อยถามแม่ หรือขอคำแนะนำจากแม่ได้

“แม่ขี้เกียจ” ไม่เคยชี้นำลูกให้เรียนรู้ แต่ปล่อยให้ลูกทำอย่างอิสระ และคิดอย่างอิสระ

แต่เธอก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ เธอยังให้ความสนใจกับลูก และใช้วิธีการที่ชาญฉลาด

เพื่อช่วยแก้ปัญหา มันสอนให้รู้ว่า ผู้ปกครองควรจะปล่อยลูกของตัวเองบ้าง

ในเวลาที่สมควร ให้เขาได้เรียนรู้ และใช้ชีวิตของตัวเองให้เต็มที่

ตัวอย่างที่แม่ๆ ทั้งหลายทำนั้น มันเป็นวิธีในการปลูกฝังลูกน้อยที่ดีมาก

เพื่อให้เขาสามารถเติบโตได้ด้วยตัวเอง และช่วยเหลือตัวเองได้

พ่อแม่ทุกคนมักจะกังวลกับลูก จนไม่กล้าปล่อยให้ลูกได้เรียนรู้ และทำอะไรด้วยตัวเอง

คุณควรเอาความกังวลเก็บไว้ในใจ และปล่อยให้เขาโบยบินไป ด้วยวิธีของเขาเอง

เพื่อให้เขามีปีกที่แข็งแรงพอ และอยู่ได้ด้วยตัวเอง ในวันที่ไม่มีคุณปกป้อง

ถ้าอยากให้ลูกเป็นคนใจเย็น ให้ฝึกการรอคอย

ถ้าอยากให้ลูกช่วยเหลือตัวเองเป็น ให้ลูกได้ลองลงมือปฎิบัติ

ถ้าอยากให้ลูกพูดเพราะ และมีมารยาท ต้องทำให้ลูกเห็นทุกวัน

ถ้าอยากให้ลูกมีวินัย พ่อแม่ต้องรู้จักรักษาคำพูด

ถ้าอยากให้ลูกแก้ปัญหาได้ ต้องฝึกให้เจอปัญหาบ่อยๆ

ถ้าอยากให้ลูกกล้าแสดงความคิดเห็น ต้องถามและเปิดใจรับฟัง