มีชายชราคนหนึ่ง เขารู้ตัวเองว่า อีกไม่นานเขาจะต้องจากโลกนี้ไป
และเขามีทรัพย์สมบัติมากมาย ที่พร้อมจะยกให้ลูกชายทั้งสอง
แต่มีของล้ำค่าอยู่หนึ่งอย่าง ที่เขาเป็นห่วง และยังตัดสินใจไม่ได้ ว่าจะมอบให้ใครดูแลดี
ชายชราครุ่นคิดอยู่นาน ว่าจะยกของนี้ให้กับใคร เพราะลูกทั้งสอง ต่างก็เป็นลูกชายที่ดีทั้งคู่
เขาจึงเรียกลูกชายทั้งสองคนให้เข้ามาหา แล้วมอบท่อนไม้ให้ลูกชายคนละหนึ่งท่อน
จากนั้นก็พูดว่า “เจ้าทั้งสองคน จะทำอะไรกับมันก็ได้ อาทิตย์หน้า เอากลับมาให้พ่อดูนะ”
หนึ่งอาทิตย์ผ่านไป ลูกชายคนแรก เทถุงถ่านลงที่หน้าบ้าน
ให้พ่อดูว่าท่อนไม้ที่พ่อให้มานั้น เขาได้เอาไปเผาเป็นถ่านแล้ว
ลูกชายคนที่สอง วางรูปม้าที่แกะสลักจากไม้ให้พ่อของเขาดู
ว่าที่ผ่านมาเขาได้เอาท่อนไม้ที่พ่อให้ ไปแกะสลักเป็นม้าไม้สวยงาม
ชายชรารู้ได้ทันทีว่า เขาจะมอบสิ่งสำคัญที่เขารักให้ใครดูแล
เขาได้มอบเงินสดมหาศาล ให้แก่ลูกชายที่ทำถ่านจากท่อนไม้
พร้อมสั่งเสียไว้ว่า จงใช้จ่ายอย่างประหยัดนะ อย่าฟุ่มเฟือย
และได้มอบธุรกิจการเดินเรือสำราญ กับเงินอีกเล็กน้อย ให้ลูกชายคนที่สองไป
ชายชราได้วัดสติปัญญาของลูกด้วยท่อนไม้ เพื่อดูว่าใครจะเดินหน้ากิจการต่อไปได้ดี
เมื่อจัดการเรื่องมรดกเรียบร้อยแล้ว ชายชราก็ได้จากไปอย่างสงบ
ลูกที่ทำถ่านจากท่อนไม้ ใช้ชีวิตอย่างสุรุ่ยสุร่าย ด้วยเงินที่พ่อให้มา จนหมดเกลี้ยงในไม่กี่ปี
ส่วนลูกที่ทำม้าแกะสลักจากท่อนไม้ ได้ดำเนินกิจการต่อจากพ่อ จนร่ำรวยในที่สุด
คนสองคน ได้ไม้ไปคนละท่อนเหมือนกัน มีเวลาเท่ากัน แต่มีความคิดต่างกัน
ผลงานจึงออกมาไม่เหมือนกัน รางวัลที่ได้รับก็ย่อมแตกต่างกันไปด้วย
ชีวิตจริงก็เช่นกัน คนทุกคนมีเวลา 24 ชั่วโมงเท่ากัน แต่เราใช้มันไม่เหมือนกัน
อย่าได้โทษโลกนี้ว่า ไม่มีความยุติธรรมเลย เราทำตัวเองทั้งนั้น
ตราบใดที่มีมือมีเท้าเหมือนกัน ต้นทุนชีวิตก็คือเท่ากัน
เอาเวลามาทำท่อนไม้ของคุณให้ดีที่สุด เพราะมันหมายถึงผลตอบแทนในชีวิต
หากคุณเอาท่อนไม้ไปทำถ่าน ก็ขายได้เพียงถุงละ 50 บาท
แต่หากเอาท่อนไม้ไปทำม้าแกะสลัก อาจขายได้มากถึงตัวละ 5,000 บาท
โลกนี้มีแต่คนเก่ง คนฉลาดเท่านั้น ที่คู่ควรกับตำแหน่งสำคัญ
“ของที่ล้ำค่า ไม่ควรอยู่ในมือคนไร้ค่าหรอกนะ”
ขอบคุณแหล่งที่มา : K h a m s u k s