การคิดแบบคนอื่นทั่วๆ ไป อาจทำให้เรามีเงินเก็บมากขึ้น แต่ยังห่างไกลคำว่ารวยอยู่มากโข
วิธีคิดของคนรวยที่จะมาแนะนำนี้ เป็นวิธีคิดที่ล้ำ แปลก แหวกแนว แต่ทำให้เรารวยขึ้น
ถ้านำไปปรับใช้ได้ถูกวิธี ลองมาดูวิธีคิดของคนรวยกันบ้าง ว่าเขามีวิธีผลิตเงินอย่างไร
ใครๆ ก็เป็นคนรวยได้
คนรวยคิดว่าใครก็เป็นคนรวยได้ทั้งนั้น ไม่จำเป็นต้องมีพรสวรรค์หรือเรียนสูงก็ทำได้
ถ้าอยากเป็นคนรวย ต้องเปลี่ยนมโนภาพทางการเงินให้เป็นบวก คิดเสียว่าเราเป็นคนที่รวยแล้ว
ถ้าอยากรวยแต่ยังพูดถึงเรื่องความต่างทางฐานะ เสพติดเรื่องความจนหรือความเป็นผู้ด้อยกว่า
ความสำเร็จก็จะอยู่ไกลเกินเอื้อมอย่างแน่นอน เริ่มต้นแบบเบาๆ ด้วยการจินตนาการภาพอนาคตที่มีความสุข
คิดภาพตัวเองสวมใส่เสื้อผ้าดีๆ ภาพตัวเองกำลังนั่งอยู่บนรถยนต์ราคาแพง อาศัยอยู่ในบ้านหลังโต
มีสระว่ายน้ำ ลองวาดภาพชีวิตในอนาคตว่าเราคือคนรวย แล้วสิ่งแวดล้อมที่ห้อมล้อมเราอยู่จะเปลี่ยนไป
ไม่เก็บเงินอย่างเดียว
คนรวยจะคิดว่าการใช้เงิน สำคัญพอๆ กับการเก็บเงิน ถ้าเอาแต่เก็บอย่างเดียวอาจเกิดผลข้างเคียงได้
เพราะการไหลของเงินถูกปิดกั้น ไม่ว่าจะเป็นตอนใช้เงิน เก็บเงิน หรือลงทุน เขาจะคิดถึงคุณค่าในอนาคตของมันเสมอ
บางครั้งเราอาจเห็นคนที่ใช้เงินซื้อของแพงๆ มาใช้ เป็นเพราะพวกเขามั่นใจในระยะยาวแล้วว่า เขาจะได้รับคุณค่ามากกว่านั้น
ดังนั้น อย่ามัวแต่ค่อนแคะว่าทำไมถึงซื้อคอมพิวเตอร์แพงๆ เป็นแสนมาใช้ โดยไม่รู้ว่าเขาสามารถใช้มันหาเงิน
ได้มากเท่าไหร่จากของสิ่งนั้น จงคิดว่าเราจะใช้เงินอย่างไร ถึงจะได้ผลลัพธ์ระยะยาวที่คุ้มค่าคืนมามากกว่า
ดูแลกระเป๋าเงินให้ดี
สำหรับคนรวย กระเป๋าเงินคือที่พักของเงิน จึงต้องดูแลให้ความสำคัญเท่าๆ กับเงิน เมื่อพวกเขาเห็นกระเป๋าเงินที่เต็มไปด้วยใบเสร็จรับเงิน
หรือธนบัตรที่ไม่จัดเรียงให้เรียบร้อย เขาจะรู้สึกหงุดหงิด เหมือนกับคนเจ้าระเบียบที่เห็นของต่างๆ ในบ้านไม่เรียบร้อย
อย่าแปลกใจที่เห็นพวกเขาลงทุนซื้อกระเป๋าเงินแพงๆ มาใช้ เพราะมันคงทน และเป็นที่เก็บรักษาเงินชั้นดีนั่นเอง
ไม่กดเงินบ่อย
การกำหนดช่วงเวลาและจำนวนเงินอย่างคงที่ ในการกดเงินจากตู้เอทีเอ็ม เป็นหนึ่งในนิสัยการจัดการเงินของคนรวย
ที่ทำให้รู้ตั้งแต่รายได้ของเดือนหนึ่งเข้ามา จนถึงวันที่รับรายได้ของเดือนถัดไป ว่าเรากดเงินจากบัญชีไปบ่อยมากแค่ไหน
พวกเขาจะกดเงินเดือนละครั้งสองครั้งพอ เพื่อควบคุมการใช้จ่ายของตัวเอง การกดเงินยิบย่อยครั้งละ 500 ไม่เคยอยู่ในหัว
เพราะเขาคิดว่าการกดเงินทีละน้อย จะทำให้ไม่รู้ตัวว่ากดเงินใช้ไปแล้วกี่บาท และควบคุมยากขึ้นด้วย ลองเปรียบเทียบดูสักเดือนหนึ่ง
กดเงินใช้ทีละน้อยแต่ถี่ กับกดเงินทีละมากๆ แต่น้อยครั้ง แบบไหนจะทำให้เราควบคุมเงินได้บัญชีได้ดีกว่ากัน
ลงทุนกับสุขภาพ
เรื่องสุขภาพสำหรับคนรวยนั้นเป็นเรื่องใหญ่พอๆ กับการหาเงิน พวกเขาจะเจียดเวลามาออกกำลังกายเสมอแม้งานจะยุ่งเพียงใด
เพราะเขารู้โดยสัญชาตญาณว่า สุขภาพคือทรัพย์สินที่ต้องรักษาไว้ และอย่างที่รู้กันว่าสุขภาพถ้าเสียไป
เอากลับมาไม่ได้อย่างแน่นอน การออกกำลังกายวันละ 15-30 นาที ก็เพียงพอแล้วหากทำทุกวัน การเต้นแอโรบิก
ช่วยให้ภูมิคุ้นกันดีขึ้น และลดการเกิดโรค ตลอดจนเพิ่มความสามารถในการจดจำด้วย ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองดีขึ้น
และช่วยกระตุ้นการทำงานของสมอง นี่คือสิ่งที่ช่วยดูแลสมองให้สุขภาพดี พร้อมลุยงานต่างๆ มากขึ้น
จัดบ้านให้เป็นระเบียบ
บ้านของคนรวย จะมีของน้อยชิ้น ถูกจัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบและสะอาด การมีข้าวของวางอย่างไม่เป็นระเบียบและรก
จะทำให้เงินทองไหลเข้ามาไม่ได้ ถัดมาเป็นเรื่องห้องน้ำ ห้องน้ำเป็นสถานที่ที่แสดงให้เห็นลักษณะเฉพาะของบ้านนั้นๆ
ลองสังเกตบ้านที่เก็บเงินได้ จะเห็นว่าห้องน้ำถูกรักษาให้สะอาดอยู่เสมอ เพราะห้องน้ำคือสถานที่ที่ความมั่งคั่ง
สามารถไหลออกไปได้โดยง่าย สไตล์การใช้ชีวิตของคนเก็บเงินเก่ง เรียกสั้นๆ ว่า มินิมัลลิสต์ ข้าวของที่อยู่รอบตัว
ล้วนเป็นสิ่งที่จำเป็น ไม่ใช่ของที่อยากได้ พวกเขารู้ว่าวัตถุอะไรอยู่ตรงไหน จึงรู้ด้วยว่ามีอะไรเหลืออยู่ และไม่ไปซื้อสิ่งที่ไม่จำเป็นมา
ตั้งเป้าหมายที่เป็นไปได้
คนรวยจะกำหนดเป้าหมายที่เป็นไปได้ และสัมผัสประสบการณ์ความสำเร็จไปทีละขั้น แล้วค่อยๆ ก้าวขึ้นไป
คนทั่วไปอาจตั้งเป้าหมายจะหาเงินล้านให้ได้ในห้าปี แต่คนรวยจะตั้งเป้าให้สั้นกว่านั้น เช่น จะต้องมีเงินแสนในสามเดือน
การดีใจ 1 ครั้ง กับดีใจ 10 ครั้งนั้นต่างกันมาก ยิ่งมีสิ่งให้ดีใจเยอะเท่าไหร่ ก็จะมีแรงขับเคลื่อนมากขึ้นเท่านั้น
จ่ายเงินซื้อเวลา
คนรวยคิดว่าเวลาคือเงิน ประหยัด 1 ชั่วโมง ไว้พัฒนาความสามารถของตัวเอง แบ่งเวลาสัก 10 นาทีไว้เพิ่มมูลค่าตัวเองให้สูง
เช่น การใช้เงินจ้างแม่บ้านมาทำความสะอาดบ้าน ส่วนตัวเองก็นั่งทำงานของตัวเอง และใช้เวลานั้นพัฒนาความสามารถในการทำงานจนสำเร็จ
การเดินทางก็เช่นกัน พวกเขาจะหาที่อยู่ที่ใกล้บริษัทที่สุด เพื่อไม่ให้เวลาสูญเปล่าอยู่บนท้องถนน เวลาในการเดินทาง
สามารถเอามาทำงานให้เสร็จได้ 1 งาน มีเวลาพักผ่อนเพิ่ม 1 ชั่วโมง หรือมีเวลาทำอาหารเช้าด้วยตัวเอง หาสิ่งดีๆ ลงท้องก่อนเริ่มงาน
สิ่งที่ควรระวังมากที่สุด คือการใช้เวลาอย่างสิ้นเปลืองไปกับการประชุม ยิ่งประชุมนานเท่าไหร่ ความขัดแย้งก็จะมากขึ้นเท่านั้น
นอกจากนี้ยังเป็นการใช้งานสมองอย่างหนัก หรือบางครั้งอาจทำให้เกิดความเฉื่อยชาไปเลยก็ได้
ที่มา : a m a r i n b o o k s